Uncategorized
ฝึกกายวาจาจิต ณ ศูนย์พัฒนาศาสนาแคมป์สน
#ความโชคดีของชีวิต
#ศรัทธาเป็นฐานในการฝึกปฏิบัติ
#สร้างบารมีธรรมด้วยการฝึกฝนจิต
ท่าน สยาดอจี ภัททันตะวิโรจนะ,ดร. อัครมหากัมมัฏฐานาจริยะ สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานงุยเตาอู
อำเภอท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สหภาพเมียนม่าร์ หัวหน้าพระวิปัสสนาจารย์ ให้โอวาทโยคีนิสิตผู้ปฏิบัติว่า
#ขอให้มีศรัทธาเป็นฐานในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หนทางในการกลับมาดูตนเองที่ดีที่สุด
คือ การเดินตามสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งประกอบด้วย
๑) #ดูกาย หมายถึง การจัดระบบร่างกายของตนเอง กายนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
สักวันกายนี้ก็ย่อยสลายลงตามกาลเวลาจงนำกายนี้สร้างบารมีให้กับตนเองเถิด
๒) #ดูจิต หมายถึง การดูจิตของตนเอง เพราะจิตใจเป็นใหญ่เป็นประธาน
ปัญหาในโลกในสังคมเพราะคนไม่ดูแลจิตของตนเอง
ปล่อยให้จิตใจเต็มไปด้วยความมืดบอด วุ่นวาย จิตที่วุ่นวายจะนำมาซึ่งความขัดแย้งได้ง่าย
แต่จิตที่ฝึกดีแล้วจะนำความสุขมาให้
๓) #ดูเวทนา หมายถึง การรู้เท่าทันกำหนดรู้ทันกับความเจ็บปวดของสังขาร เวทนามากยิ่งเห็นความทุกข์มาก
เราไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเกลียดเวทนา แต่จงเข้าไปกำหนดเวทนา ให้รู้เท่าทันเท่านั้น สังขารนี้ทุกเหลือเกิน
แค่ลำพังชีวิตตนเองยังจะเอาไม่รอดเพราะเวทนาที่มันเจ็บปวด ขอบคุณเวทนาที่ทำให้เราเห็นธรรม
เพราะ ” กระท้อนหวานเมื่อซ้ำ คนจะเห็นธรรมเมื่อทุกข์ “
๔) #ดูธรรม หมายถึง ขณะเราปฏิบัติเราจะเห็นธรรมเกิดขึ้น เช่น ความอดทน อดทนต่อเวทนาที่เกิดขึ้น
มีสติกำหนดรู้เท่าทันทุกขณะจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า ” ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา
” เมื่อเห็นธรรมจะเห็นพระพุทธเจ้า
ดังนั้น นับว่าเป็นความโชคดีของนิสิตที่มีโอกาสได้ปฏิบัติที่มีครูอาจารย์เป็นต้นแบบ
ของการปฏิบัติด้านวิปัสสนากรรมฐานนามแนวสติปัฏฐาน
สาราณียธรรม พระปราโมทย์ วาทโกวิโท ดร.
อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มจร ฝ่ายสื่อสารกิจกรรมปฏิบัติธรรม
ณ ศูนย์พัฒนาศาสนาแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
๘ ธันวาคม ๒๕๖๒